น่าจะครบหนึ่งปีพอดีกับ new normal ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ในช่วงเริ่มต้นก็มีความโกลาหลบ้างไม่มากไม่น้อย ขึ้นอยู่กับความเคยชินของคนว่าต้องปรับตัวกันมาแค่ไหน ซึ่งโดนส่วนตัวและตามลักษณะงานแล้วไม่ได้เป็นคนที่ต้องยึดติดกับสถานที่ทำงานมากนัก เพราะชอบออกมารีโหมดทำงานนอกสถานที่มากกว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดในช่วงแรกๆคือ เราสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ยกเว้นที่บ้าน
การทำงานจากบ้านเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเรา เพราะอยู่กันเป็นบ้านรวมครอบครัวใหญ่ ซึ่งทำให้การหาพื้นที่ส่วนตัว เป็นสัดส่วนเฉพาะการทำงานยากมาก และไม่ใช่เฉพาะคนที่ต้องทำงาน แต่คนที่เคยอยู่แต่กับบ้านก็ต้องปรับตัวด้วย ซึ่งเอาเข้าจริงๆกว่าจะปรับเข้าหากันได้ คุยกันรู้เรื่องว่ากำลัง work from home คือช่วงเวลาทำงานคือต้องการความเป็นส่วนตัว ก็เกือบจะหมดช่วงของการ lock down รอบแรก
เราผ่านปี พ.ศ. 2563 มาโดยไม่มีงานรื่นเริงช่วงสงกรานต์ และกว่าเหตุการณ์จะปรกติพอให้ออกไปจับจ่ายได้บ้าง ก็เป็นช่วงการพักเทศกาลต่างๆ ในระหว่างเดือนแปดถึงเดือนสิบเอ็ด จะมีความบันเทิงอยู่บ้างส่วนใหญ่ก็เป็นผลมาจากการปรับตัวของสื่อต่างๆที่ต้องเรียนรู้การนำเสนอผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ฝั่งคนดูเองก็เน้นการ interact กันสดๆผ่านหน้าจอ กับกิจกรรมจับจ่ายซื้อของตามวันโปรโมชั่นพิเศษในทุกๆเดือน
จากที่เงียบเหงากันมาทั้งปี และอะไรๆก็ดูเหมือนจะดีขึ้น ใครต่อใครก็เฝ้ารองานรื่นเริงใหญ่ส่งท้ายปี เราเองก็หนึ่งในนั้น ทั้งที่ปรกติแล้วชอบจะอยู่เงียบๆหลีกลี้จากสถานที่พลุกพล่าน ทั้งๆที่ความสนุกสนานเห็นอยู่ใกล้ๆแค่เอื้อม สิ่งที่ไม่เกินความคาดหมาย แต่ผู้คนทั้งหลายไม่อยากให้มันเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจนได้
โรคระบาดกลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเล่นคำเรียกเป็นรอบใหม่ หรือรอบสอง แต่งานเฉลิมฉลองข้ามปีต่างๆก็โดนงดไปอีกรอบ เราหยุดยาวปีใหม่ แล้วอยู่ทำงานจากที่พัก ไม่ได้กลับเข้าออฟฟิตมาจนถึงวันนี้ ที่น่าแปลกก็คือไม่ค่อยเห็นความตื่นตระหนกเหมือนรอบแรกเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นความคุ้นเคย หลายๆคนยังคงต้องปรับตัว แต่ปรับอย่างปลงๆ สมยอม อะไรก็ได้บอกมาก็แล้วกัน เชื่ออีกว่าหลายๆธุรกิจหมดแรงจะดิ้นรน และหลายๆคนอาจจะขอยอมแพ้ไปแล้ว และในอีกฝั่งหนึ่งที่ไม่ได้โดนผลกระทบอะไรมากนัก ก็ยังคงมองโลกแบบเพิกเฉยต่อทุกสรรพสิ่งเหมือนเดิม
บางทีอุปสรรคก็ไม่ได้สอนอะไรให้คนที่ไร้ปัญญา และหลายๆครั้งปัญญามักผกผันกับอำนาจและความฉลาดที่หนึ่งคนจะมี การมีผู้คนมาพินอบพิเทารายล้อมเอาใจ มันทำให้การมองโลกของคนแคบลงได้อย่างน่ากลัว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคนเขลาเกินกว่าจะถอนตัวออกมา
พ.ศ. 2563 เป็นปีที่ทุกข์ของเราปีนึง แล้วก็เป็นช่วงปีที่เรียกว่า “ปีชง” ด้วยซ้ำ แต่ด้วยสถานการณ์ที่ทั่วโลกงานเข้า มองไปทางไหนก็เจอคนที่เค้าทุกข์ยากกว่าเรามากมาย ความทุกข์ของเราก็เลยดูไม่เป็นปัญหามากนัก เอาเข้าจริงๆ กลายเป็นโอกาสเล็กๆให้ได้ช่วยเหลือคนรอบข้างตามกำลัง ซึ่งก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้บ้างในระดับนึง ข้อจำกัดต่างๆมันทำให้เราได้ปรับตัว ทั้งมุมมอง และความเคยชินหลายๆอย่าง และสำหรับปีใหม่นี้ ก็คงไม่มีความตั้งใจอะไรแบบชัดเจน คงแค่พูดกับตัวเองว่าอย่าคาดหวังอะไรเกินเลย และคิดอะไรก็ลงมือทำทันที รอนั่นรอนี่ เดี๋ยวก็ไม่ได้ทำ